ทำไมการใจเย็นและมีสติ “โตขึ้นจะเข้าใจเอง”
ทำไมการใจเย็นและมีสติ “โตขึ้นจะเข้าใจเอง”
เคยได้ยินคนเฒ่าคนแก่หรือพ่อแม่เราบอกมั้ยว่า “โตขึ้นจะเข้าใจเอง” ลองนึกย้อนไปในวัยเด็กว่าเราเคยได้ยินคำเหล่านี้ตอนที่เรากำลังทำอะไร
ตอนที่เราไม่ได้ดังใจ ตอนที่พ่อแม่ไม่ยอมตามใจ หรือตอนที่เราดื้อดึงกับพ่อแม่ ตอนที่เราเอาแต่ใจตัวเองใช่มั้ย
พอโตขึ้นมาหน่อยเข้าเรียนในรั้วมหาวิทยาลัย รุ่นพี่มักจะบอกกับรุ่นน้องว่า
“เดี๋ยวน้องจะเข้าใจเอง” ...เกาหัวอีกหลายรอบกว่าจะโตพอที่จะเข้าใจคำเหล่านี้ รู้คำตอบมั้ยคะว่าทำไมท่านจึงพูดแบบนั้น
ท่านกำลังจะสอนเราว่าไม่ว่าจะทำอะไรก็แล้วแต่ให้เป็นคนที่ใจเย็นๆ
และมีสติทุกๆเรื่อง แต่กว่าจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ก็ต้องรอจนเติบใหญ่ และมีวุฒิภาวะทางอารมณ์ที่มากพอ
สังเกตตัวเองมั้ยว่าเมื่อเราโตขึ้น เรามีความอดทนอดมากขึ้น ไม่มุทะลุ ไม่ใจร้อน ไม่ใช้กำลัง
เริ่มใช้สติมากขึ้น นิสัยเด็ก ๆ เริ่มหายไป เช่น นิสัยชอบโวยวาย ใจร้อน ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล
เพราะว่าการกระทำเหล่านั้น มักจะส่งผลเสียต่อเรามากกว่าผลดี ทำให้บางครั้งเราอาจจะเดือดร้อนเพราะนิสัยเหล่านี้ได้
มีหลายต่อหลายคนที่ทำสิ่งไม่ดีลงไป มักจะออกมาบอกต่อสังคมว่า ไม่ได้ตั้งใจที่ทำไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ
อารมณ์ชั่ววูบนี่แหละที่ทำให้มีหลายคนต้องเสียอนาคต ติดคุกติดตาราง
เมื่อถูกสังคมกระหน่ำในเรื่องที่ทำลงไปก็มักจะวอนขอให้สังคมให้อภัยในสิ่งที่ได้ทำลงไปแล้ว ซึ่งเมื่อระลึกได้ก็สายไปเสียแล้ว
.มาดูว่าการฝึกให้ตัวเองใจเย็นและมีสตินั้นต้องทำอย่างไร
เป็นเรื่องที่ไม่ยากเลยค่อยๆฝึกฝนจนเป็นนิสัย ชีวิตก็จะมีความสุข ที่สำคัญกลายเป็นคนที่มีเสน่ห์ในตัวเองซะด้วย สิ่งที่ต้องฝึกคือ
ฝึกตัวเองเรื่องการกล่าวคำขอบคุณ การขอบคุณมีประโยชน์มากมายผู้กล่าวและผู้ทั้งรับ
การวิจัยหนึ่งแสดงให้เห็นว่าการขอบคุณทำให้เรารู้สึกมีความสุขมากขึ้น เครียดน้อยลง
และช่วยทำให้มองโลกในแง่ดีมากขึ้นนอกจากนี้ยังมีงานวิจัยต่าง ๆ พบอีกว่า
การขอบคุณสามารถช่วยให้เรามีความอดทนมากขึ้น ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากที่เราจะฝึกฝนตัวเองเรื่องการกล่าวคำขอบคุณ
ในการฝึกขอบคุณ เพียงแค่เราเอ่ยคำว่าขอบคุณกับคนที่ทำบางสิ่งให้เราด้วยรอยยิ้ม
หรืออาจจะขอบคุณตัวเองเมื่อสามารถทำบางสิ่งได้ เมื่อเรากล่าวคำว่าขอบคุณจนเป็นนิสัยแล้ว
จะทำให้เรามองโลกในแง่ดี เป็นคนที่คิดบวก และมีความอดทนมากขึ้น
ฝึกตัวเองให้มีสติกับเรื่องที่ทำให้มากขึ้น หลายต่อหลายคนกว่าจะมาถึงจุดนี้ก็ผ่านช่วงเวลาที่ความคุมอารมณ์หรือสติไม่ได้กันมาทั้งนั้น
และเชื่อว่าหลายคนคงเคยทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ ทำในสิ่งที่ไม่รีบร้อนแทนที่จะทำในสิ่งที่เร่งด่วนมากกว่า
ที่เป็นเช่นนี้เพราะยังไม่สามารถจัดลำดับความสำคัญให้กับตัวเองได้ จนในบางครั้งเป็นสาเหตุทำให้ชีวิตเรารู้สึกยุ่งยากและวุ่นวายอยู่ตลอดเวลา
หากได้ฝึกตัวเองให้มีสติมากขึ้น จะช่วยทำให้เราสามารถจัดระเบียบความคิดของเราได้ดียิ่งขึ้น
ฝึกตัวเองให้รู้จักการรอคอย ในสังคมปัจจุบันสิ่งที่ขาดหายไปคือการขาดวินัยของคน ขาดการรอคอย
ชอบทำอะไรที่เป็นทางลัด ขาดการไตร่ตรอง ขาดการทำอะไรทู่กต้อง แต่มักทำอะไรที่พอใจมากกว่า
ความพึงพอใจที่เกิดขึ้นเมื่อได้รับในสิ่งที่ต้องการทันทีทันใด แม้จะทำให้เรารู้สึกดี แต่นักวิจัยทางจิตวิทยากลับมองว่ามันให้ความหมายที่ตรงข้ามกัน
โดยในการศึกษาหนึ่งพบว่าการรอคอยบางสิ่งจะทำให้เรารู้สึกมีความสุขในระยะยาวมากกว่า การทำให้มีนิสัยการรอคอยที่ดีที่สุด
ก็คือการฝึกตัวเองให้รู้จักการรอ โดยอาจจะเริ่มจากการรอในระยะเวลาสั้น ๆ สัก 10 นาที แล้วค่อยๆเพิ่มเวลาขึ้น
เมื่อเราสามารถรอจนเป็นนิสัยได้แล้ว ก็จะทำให้เรามีความอดทนมากขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
แถมยังทำให้คุณมีความสุข และไม่หงุดหงิดเมื่อต้องพบกับสถานการณ์ที่ต้องรอนาน ๆ อีกด้วย
ฝึกตัวเองให้ยอมรับความยากลำบากให้ได้ ควรฝึกให้ตนเองทนกับความยากลำบาก และความไม่สะดวกสบายให้ได้
และเมื่อเราสามารถอดทนกับสิ่งเหล่านั้นได้ เมื่อเราเจอปัญหาต่าง ๆ จะทำให้เรามีความอดทนมากขึ้น
และมีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองสามารถก้าวผ่านกระบวนการยากๆ มาได้
ไม่ยากเลยใช่มั้ยที่จะทำให้ตัวเองเป็นคนที่ใจเย็น และมีสติให้มากขึ้น สิ่งเหล่านี้
จะทำให้เราเป็นคนที่มีมุมมองโลกที่ดีขึ้น มีจิตที่คิดบวก
ถ้าหากเรามีความอดทนมากขึ้นเราก็จะมีความสุขมากขึ้น
เป็นกำลังใจให้ทุกคนก้าวผ่านช่วงวัยนี้เพื่อเป็นผู้ใหญ่ที่คิดบวกในอนาคต
เมื่อถึงวันนั้นก็จะเข้าใจเองว่า ทำไมการใจเย็นและมีสติ “โตขึ้นจะเข้าใจเอง”
#"เริ่มต้นที่เราอ่าน...สู่การอ่านเพื่อสังคมอุดมปัญญา"
#กระจายบุญ...เริ่มต้นที่เราให้ สังคมได้ไม่สิ้นสุด
#กระจายบุญ...พวงหรีดเพื่อสังคม...อุทิศให้ผู้วายชนม์
#กระจายบุญ...บุญที่จับต้องได้
#กระจายบุญ...ให้ได้มากกว่าที่คิด...อุทิศแด่ผู้ที่จากไป