ถ้าเจอ “คนสามฤดู”….ควรทำอย่างไร?
ถ้าเจอ “คนสามฤดู”….ควรทำอย่างไร?
ในชีวิตของเรา หากวันนี้เรามีอายุเริ่มที่ 40 ปี คงจะได้พบเจอผู้คนมากหน้าหลายตา มีทั้งคนที่ดีกับเรา
คนที่ไม่ชอบเรา คนที่โครตรักเรา หรือคนที่เห็นหน้าเราทีไรเมินหน้าหนีทุกที เพราะอะไรเราจึงต้องพบเจอคนเหล่านี้
เพราะในสังคมโลก ทุกคนต้องดำเนินชีวิตที่ต้องอาศัยกันและกัน เกื้อกูลกัน หากเราทำตัวโดดเดี่ยว
สันโดษ ไม่เอาใคร ไม่คบใคร คนแบบนี้มีในสังคมมั้ย มีแน่นอนแต่คงจะมีชีวิตที่อาจจะอยู่อย่างไร้ที่พึ่งพิงในยามที่ประสบความลำบาก
หรือในกรณีที่เป็นคนไม่ฟังใคร น้ำเต็มแก้วตลอด มีความเป็นตัวเองที่สูงมาก คิดว่าตัวเองถูกเสมอ คนกลุ่มนี้ก็มีในสังคมเช่นกัน...
แล้วเราจะต้องทำตัวอย่างไรกับคนเหล่านี้ ลองอ่านเรื่องราวนี้ดูว่าให้ข้อคิดในการใช้ชีวิตอย่างไรบ้าง
ขอขอบคุณ “ขจรศักดิ์” แปลและเรียบเรียง www.facebook.com/Flintlibrary
“คนสามฤดู” จะยืนกรานว่าตนมีเหตุผล รู้จริงและถูกต้องเสมอ ยากที่จะยอมรับความคิดเห็นคนอื่น
นั่นเพราะพวกเขาไม่เคยพบเจอความจริงที่บ่งบอกถึงความเข้าใจผิดของพวกเขา…
มีอยู่วันหนึ่ง ลูกศิษย์คนหนึ่งของขงจื้อกำลังกวาดพื้นอยู่หน้าสำนัก มีคนแปลกหน้าผ่านมาแล้วถามเขาว่า
“เจ้าพำนักอยู่สำนักขงจื้อหรือ”
“ใช่ครับ ผมเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ขงจื้อครับ” เขาตอบอย่างภาคภูมิใจ
“ดีมาก ถ้าเช่นนั้นผมขอถามคำถามคุณสักข้อ”
“ได้เลยครับ เรียนเชิญ” ลูกศิษย์ตอบ ในใจเขาคิดว่าคงเป็นพวกปัญหาแปลกประหลาดพิสดารไม่เหมือนใคร
คนแปลกหน้าถามว่า “โลกนี้ปีหนึ่งมีกี่ฤดู”
ลูกศิษย์คิดในใจว่า คำถามง่ายๆแบบนี้ยังเอามาถามได้ จึงตอบไปอย่างมั่นใจว่า “ปีหนึ่งมีสี่ฤดู”
คนแปลกหน้าสั่นหัว “ไม่ถูก ปีหนึ่งมีแค่สามฤดู”
“คุณคงเข้าใจผิด สี่ฤดูแน่นอนอยู่แล้ว”
“สามฤดู” คนแปลกหน้าเถียงอย่างมีน้ำโห
ฝ่ายลูกศิษย์พยายามแจกแจงรายละเอียดของทั้งสี่ฤดูให้ฟังอย่างครบถ้วน แต่คนแปลกหน้าก็ไม่ยอมรับรู้
ทั้งสองโต้เถียงกันไม่ยอมจบ เลยตกลงกันว่าต้องมีเดิมพันกันหน่อย หากเป็นสี่ฤดู คนแปลกหน้าต้องโค้งคำนับฝ่ายลูกศิษย์ไปสามครั้ง
แต่หากคำตอบคือสามฤดู ฝ่ายลูกศิษย์ต้องเป็นฝ่ายโค้งคำนับ ก็พอดีเป็นจังหวะที่ขงจื้อเดินออกมาหน้าสำนักตน
ลูกศิษย์จึงถือโอกาสเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้อาจารย์ฟัง พร้อมถามคำถามที่กำลังโต้เถียงกันอยู่ “ตกลงปีหนึ่งมีกี่ฤดูครับ อาจารย์”
ขงจื้อใช้สายตามองคนแปลกหน้าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะตอบเขาว่า “ถ้าเจ้าจะเชื่อว่าปีหนึ่งมีสามฤดู มันก็ไม่ผิด”
ลูกศิษย์ทั้งตกใจและแปลกใจในคำตอบ แต่ก็ไม่กล้าโต้แย้งอาจารย์
คนแปลกหน้าดีใจอย่างมาก “มาโค้งคำนับข้าเร็ว”
ลูกศิษย์จำใจต้องทำตามสัญญา ด้วยการโค้งคำนับคนแปลกหน้าไปสามครั้ง
เมื่อคนแปลกหน้าจากไปแล้ว ลูกศิษย์จึงถามขงจื้อด้วยความสงสัยว่า
“อาจารย์ครับ ปีหนึ่งมีสี่ฤดูชัดๆ แต่ทำไมอาจารย์จึงบอกว่ามีแค่สามฤดู”
ขงจื้อมองหน้าลูกศิษย์ ก่อนจะตอบอย่างใจเย็นว่า “เจ้าไม่เห็นหรือว่า คนแปลกหน้าคนนั้นนุ่งเขียวห่มเขียวมาทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า
ข้าจึงอยากเปรียบเปรยเขาเป็นดั่งพวกตั๊กแตน ตั๊กแตนเกิดในฤดูใบไม้ผลิ และตายในฤดูใบไม้ร่วง พวกมันจึงไม่เคยได้พบเจอฤดูหนาวเลย
คนแปลกหน้าคนนั้นอาจมาจากแดนไกลที่แทบจะไม่มีฤดูหนาว ถ้าบอกเขาว่า ปีหนึ่งมีสามฤดู เขาก็จะพอใจ แต่ถ้าบอกเขาว่าโลกนี้มีสี่ฤดู
คงต้องทะเลาะโต้เถียงกันไม่จบไม่สิ้น แม้พระอาทิตย์จะตกดินไปแล้วก็ยังจะหาบทสรุปไม่ได้ การที่เจ้ายอมคำนับเขาไปสามครั้ง
เสียเปรียบหน่อยแต่ก็ไม่ถึงกับเสียหายมาก เรื่องจะได้จบกันเสียที จงอย่าเสียเวลาไปโต้เถียงกับคนพวกนี้ให้เสียอารมณ์โดยใช่เหตุ”
หลายคนที่เคยอ่านเรื่องนี้แล้ว ก็มักจะกลับมาเล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนเจอคนที่ไม่ยอมคุยด้วยเหตุผล หรือเอาแต่ความคิดตนเองเป็นใหญ่
ก็จะโกรธ อารมณ์เสีย อยากเถียงให้มันรู้ดำรู้แดงไปเลย แต่เดี๋ยวนี้เลิกอารมณ์ขุ่นมัวกับคนพวกนี้แล้ว
เพราะคิดได้ว่าคนพวกนี้เป็นแค่ “คนสามฤดู” จิตใจก็จะสบายขึ้น
“คนสามฤดู” จะยืนกรานว่าตนมีเหตุผล รู้จริงและถูกต้องเสมอ ยากที่จะยอมรับความคิดเห็นคนอื่น
นั่นเพราะพวกเขาไม่เคยพบเจอความจริงที่บ่งบอกถึงความเข้าใจผิดของพวกเขา หรืออาจเพราะความดื้อรั้นในตัวเขา
เพราะฉะนั้น หากเรามัวแต่เสียอารมณ์ไปโกรธคนพวกนี้ ก็เท่ากับเรากำลังทำร้ายตัวเราเอง
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
ถ้าเจอ”คนสามฤดู”….
ไม่แย่งชิงคือความสงบ
ไม่โต้เถียงคือความชาญฉลาด
ให้อภัยคือการหลุดพ้น
ยุติให้เป็นคือการปล่อยวาง
โลกเรานั้น มี “คนสามฤดู” เยอะแยะไปหมด จงจำนิทานเรื่องนี้ให้ดี
แล้วนำออกมาใช้ในจังหวะที่จำเป็นมีประโยชน์ต่อคุณแน่นอน
#"เริ่มต้นที่เราอ่าน...สู่การอ่านเพื่อสังคมอุดมปัญญา"
#กระจายบุญ...เริ่มต้นที่เราให้ สังคมได้ไม่สิ้นสุด
#กระจายบุญ...พวงหรีดเพื่อสังคม...อุทิศให้ผู้วายชนม์
#กระจายบุญ...บุญที่จับต้องได้
#กระจายบุญ...ให้ได้มากกว่าที่คิด...อุทิศแด่ผู้ที่จากไป